ความเครียดและการบริหารความเครียด กรมสุขภาพจิต การฝึกผ่อนคลายความเครียด วิธีปฏิบัติเพื่อลดความเครียดมีมากมาย หลายคนอาจเคยใช้ เช่น การเล่นดนตรี การฟังเพลง วาดรูป ปลูกต้นไม้ หรือออกกำลังกาย เหล่านี้เป็นวิธีการที่ไม่เจาะจง สามารถเลือกใช้ได้เมื่อเผชิญกับความเครียดไม่รุนแรง ส่วนวิธีที่จะนำเสนอต่อไปนี้ นับเป็นวิธีการเฉพาะในการลดความเครียดในทางวิชาการ ซึ่งสามารถลดความเครียดได้ ขึ้นอยู่กับว่าใครใช้ได้ผลมากน้อยแค่ไหน เมื่อเครียด กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายจะหดเกร็งและจิตใจจะวุ่นวายสับสน ดังนั้น เทคนิคการผ่อนคลายความเครียดส่วนใหญ่จึงเน้นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และการทำจิตใจให้สงบเป็นหลัก ซึ่งวิธีที่จะนำเสนอในที่นี้ จะเป็นวิธีง่ายๆ สามารถทำได้ด้วยตัวเอง มี 8 วิธีดังนี้ 1. การฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อ 2. การฝึกการหายใจ 3. การทำสมาธิเบื้องต้น 4. การใช้เทคนิคความเงียบ 5. การใช้จินตนาการ 6. การทำงานศิลปะ 7. การใช้เสียงเพลง 8. การใช้เทปเสียงคลายเครียดด้วยตัวเอง ขอให้คุณลองอ่านวิธีทั้งหมดอย่างคร่าวๆ ดูก่อน หากชอบวิธีไหนเป็นพิเศษจึงค่อยอ่านโดยละเอียด และนำไปฝึกฝนด้วยความตั้งใจต่อไป ในการฝึกครั้งแรกๆ ใจอาจจะยังคอยพะวงอยู่กับขั้นตอนการฝึกจนรู้สึกว่าความเครียดยังไม่ได้รับการผ่อนคลายออกไปเท่าที่ควร แต่เมื่อฝึกหลายครั้งจนเกิดความชำนาญ จะช่วยคลายเครียดได้เป็นอย่างดี สำหรับการฝึกคลายเครียดนั้น เมื่อเริ่มฝึกควรฝึกบ่อยๆ วันละ 2-3 ครั้ง และควรฝึกทุกวัน ต่อเมื่อฝึกจนชำนาญแล้วจึงลดลงเหลือเพียงวันละ 1 ครั้งก็พอ หรืออาจฝึกเฉพาะเมื่อรู้สึกเครียดเท่านั้นก็ได้ แต่อยากแนะนำให้ฝึกทุกวัน โดยเฉพาะก่อนนอนจะช่วยให้จิตใจสงบ และนอนหลับสบายขึ้น 1. การฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อที่ควรฝึกมี 10 กลุ่มด้วยกัน คือ 1. แขนขวา 2. แขนซ้าย 3. หน้าผาก 4. ตา แก้มและจมูก 5. ขากรรไกร ริมฝีปากและลิ้น 6. คอ 7. อก หลัง และไหล่ 8. หน้าท้อง และก้น 9. ขาขวา 10. ขาซ้าย วิธีการฝึกมีดังนี้ - นั่งในท่าสบาย - เกร็งกล้ามเนื้อไปทีละกลุ่ม ค้างไว้สัก 10 วินาที แล้วคลายออก จากนั้นก็เกร็งใหม่สลับกันไปประมาณ 10 ครั้ง ค่อยๆ ทำไปจนครบทั้ง 10 กลุ่ม - เริ่มจากการกำมือ และเกร็งแขนทั้งซ้ายขวาแล้วปล่อย - บริเวณหน้าผาก ใช้วิธีเลิกคิ้วให้สูง หรือขมวดคิ้วจนชิดแล้วคลาย - ตา แก้ม และจมูก ใช้วิธีหลับตาปี๋ ย่นจมูกแล้วคลาย - ขากรรไกร ริมฝีปากและลิ้น ใช้วิธีกัดฟัน เม้มปากแน่นและใช้ลิ้นดันเพดานโดยหุบปากไว้แล้วคลาย - คอ โดยการก้มหน้าให้คางจรดคอ เงยหน้าให้มากที่สุดแล้วกลับสู่ท่าปกติ - อก หลัง และไหล่ โดยหายใจเข้าลึกๆ แล้วเกร็งไว้ ยกไหล่ให้สูงที่สุดแล้วคลาย - หน้าท้องและก้น ใช้วิธีแขม่วท้อง ขมิบกันแล้วคลาย - งอนิ้วเท้าเข้าหากัน กระดกปลายเท้าขึ้นสูง เกร็งขาซ้ายและขวาแล้วปล่อย การฝึกเช่นนี้จะทำให้รับรู้ถึงความเครียดจากการเกร็งกล้ามเนื้อกลุ่มต่างๆ และรู้สึกสบายเมื่อคลายกล้ามเนื้อออกแล้ว ดังนั้น ครั้งต่อไปเมื่อเครียดและกล้ามเนื้อเกร็งจะได้รู้ตัว และรีบผ่อนคลายโดยเร็ว ก็จะช่วยได้มาก 2. การฝึกการหายใจ ฝึกการหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อกระบังลมบริเวณหน้าท้องแทนการหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าอก เมื่อหายใจเข้า หน้าท้องจะพองออก และเมื่อหายใจออก หน้าท้องจะยุบลง ซึ่งจะรู้ได้โดยเอามือวางไว้ที่หน้าท้องแล้วคอยสังเกตเวลาหายใจเข้าและหายใจออก หายใจเข้าลึกๆ และช้าๆ กลั้นไว้ชั่วครู่แล้วจึงหายใจออก ลองฝึกเป็นประจำทุกวัน จนสามารถทำได้โดยอัตโนมัติ การหายใจแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น ทำให้สมองแจ่มใส ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ไม่ง่วงเหงาหาวนอน พร้อมเสมอสำหรับภารกิจต่างๆ ในแต่ละวัน 3. การทำสมาธิเบื้องต้น เลือกสถานที่ที่เงียบสงบ ไม่มีใครรบกวน เช่น ห้องพระ ห้องนอน ห้องทำงานที่ไม่มีคนพลุกพล่าน หรือมุมสงบในบ้าน นั่งขัดสมาธิ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือชนกันหรือมือขวาทับมือซ้ายตั้งตัวตรง หรือจะนั่งพับเพียบก็ได้ตามแต่จะถนัด กำหนดลมหายใจเข้าออก โดยสังเกตลมที่มากระทบปลายจมูก หรือริมฝีปากบน ให้รู้ว่าขณะนั้นหายใจเข้าหรือออก หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ หายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ 1 นับไปเรื่อยๆ จนถึง 5 เริ่มนับใหม่จาก 1-6 แล้วพอ กลับมานับใหม่จาก 1-7 แล้วพอ กลับมานับใหม่จาก 1-8 แล้วพอ กลับมานับใหม่จาก 1-9 แล้วพอ กลับมานับใหม่จาก 1-10 แล้วพอ ย้อนกลับมาเริ่ม 1-5 ใหม่ วนไปเรื่อยๆ ขอเพียงจิตใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น อย่าคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่น เมื่อจิตใจแน่วแน่จะช่วยขจัดความเครียด ความวิตกกังวล ความเศร้าหมอง เกิดปัญญาที่จะคิดแก้ไขปัญหาและเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตได้อย่างมีสติ มีเหตุมีผล และยังช่วยให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นด้วย 4. การใช้เทคนิคความเงียบ การจะสยบความวุ่นวายของจิตใจที่ได้ผล คงต้องอาศัยความเงียบเข้าช่วย โดยมีวิธีการดังนี้ - เลือกสถานที่ที่สงบเงียบ มีความเป็นส่วนตัว และควรบอกผู้ใกล้ชิดว่าอย่าเพิ่งรบกวนสัก 15 นาที - เลือกเวลาที่เหมาะสม เช่น หลังตื่นนอน เวลาพักกลางวัน ก่อนเข้านอน ฯลฯ -นั่งหรือนอนในท่าที่สบาย ถ้านั่งควรเลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิงศีรษะอย่าไขว่ห้างหรือกอดอก - หลับตา เพื่อตัดสิ่งรบกวนจากภายนอก - หายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ - ทำใจให้เป็นสมาธิ โดยท่องคาถาบทสั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมา เช่น พุทโธ พุทโธ หรือจะสวดมนต์บทยาวๆ ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ เช่น สวดพระคาถาชินบัญชร 3-5 จบ เป็นต้น ฝึกครั้งละ 10-15 นาที ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง แรกๆ ให้เอานาฬิกามาวางตรงหน้า และลืมตาดูเวลาเป็นระยะๆ เมื่อฝึกบ่อยเข้าจะกะเวลาได้อย่างแม่นยำ ไม่ควรใช้นาฬิกาปลุก เพราะเสียงจากนาฬิกาจะทำให้ตกใจเสียสมาธิ และรู้สึกหงุดหงิดแทนที่จะสงบ *******************************************
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ความเครียดและการบริหารความเครียด
โรคปวดศีรษะจากความเครียด
โรคปวดศีรษะจากความเครียด โดย นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 28 ฉบับที่ 336 เมษายน 2550 หน้า 28-31โรคปวดศีรษะจากความเครียด เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุดของผู้ที่มีอาการปวดศีรษะ มักจะมีอาการปวดศีรษะต่อเนื่องนานเป็นวันๆ จนถึงเป็นสัปดาห์ หรือเป็นแรมเดือน โดยจะปวดพอรำคาญ หรือทำให้รู้สึกไม่สุขสบาย และจะปวดอย่างคงที่ ไม่แรงขึ้นกว่าวันแรกๆ ที่ปวด จัดว่าเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด แต่จะเป็นๆ หาย ๆ เรื้อรัง
ชื่อภาษาไทย โรคปวดศีรษะจากความเครียด โรคปวดศีรษะแบบตึงเครียด ชื่อภาษาอังกฤษ Tension-type headache (TTH), Tension headache, Muscle contraction headache, Psychogenic headache
สาเหตุ อาการปวดศีรษะของผู้ป่วยโรคนี้เป็นผลมาจากมีการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะและใบหน้าซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุและกลไกของการเกิดโรคอย่างแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจากมีสิ่งเร้ากระตุ้นที่กล้ามเนื้อและพังผืดบริเวณรอบกะโหลกศีรษะ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของระบบประสาทขึ้นตรงประสาทส่วนกลาง (อาจเป็นบางส่วนของไขสันหลัง หรือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ที่เลี้ยงบริเวณศีรษะและใบหน้า) แล้วส่งผลกลับมาที่กล้ามเนื้อรอบกะโหลกศีรษะ ทำให้เกิดการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อดังกล่าว รวมทั้งอาจมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี (เช่น เอนดอร์ฟินซีโรโทนิน) ในเนื้อเยื่อดังกล่าว ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ส่วนใหญ่ มักพบว่ามีสาเหตุกระตุ้น ได้แก่ ความเครียด หิวข้าวหรือกินข้าวผิดเวลา อดนอน ตาล้าตาเพลีย(จากใช้สายตามากเกินไป) นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีโรควิตกกังวลซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์ หรือการปรับตัว บางครั้งอาจพบร่วมกับโรคปวดศีรษะไมเกรน อาการ ลักษณะเฉพาะของโรคนี้คือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตื้อๆ หนักๆ ที่ขมับ หน้าผาก กลางศีรษะ หรือท้ายทอยทั้ง 2 ข้าง หรือทั่วศีรษะ หรือปวดรอบศีรษะคล้ายเข็มขัดรัด ต่อเนื่องกันนานครั้งละ 30 นาทีถึง 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มักจะปวดนานเกิน 24 ชั่วโมง บางคนอาจปวดนานติดต่อกันทุกวันเป็นสัปดาห์ๆ หรือเป็นแรมเดือนโดยที่อาการปวดจะเป็นอย่างคงที่ ไม่ปวดรุนแรงขึ้นจากวันแรกๆ ที่เริ่มเป็น ส่วนมากจะเป็นการปวดตื้อๆ หนักๆ พอรำคาญหรือรู้สึกไม่สุขสบาย ส่วนมากที่อาจปวดรุนแรงจนเป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน ผู้ป่วยจะไม่มีไข้ ไม่เป็นหวัด ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือตาพร่าตาลาย และไม่ปวดมากขึ้นเมื่อถูกแสง เสียง กลิ่น หรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย อาการปวดศีรษะอาจเริ่มเป็นตั้งแต่หลังตื่นนอนหรือในช่วงเช้าๆ บางคนอาจเริ่มปวดตอนบ่ายๆ เย็นๆ หรือหลังจากได้คร่ำเคร่งกับงานมากหรือขณะหิวข้าว หรือมีเรื่องคิดมาก วิตกกังวล มีอารมณ์ซึมเศร้าหรือนอนไม่หลับ การแยกโรค อาการปวดศีรษะที่เป็นต่อเนื่องกันเป็นวันๆ ขึ้นไปควรแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น 1. ไมเกรน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตุบๆ ที่ขมับข้างเดียว (ส่วนน้อยเป็นพร้อมกัน 2 ข้าง) คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่า นาน 4-72 ชั่วโมง มันจะเป็นๆ หายๆ ทุกครั้งที่มีอาการกำเริบ มักจะเกิดจากสิ่งกระตุ้น เช่น แสง เสียง กลิ่น อดนอน อดข้าว อากาศร้อนหรือเย็นจัด อาหารบางชนิด เหล้า ผงชูรส โดยมากจะเริ่มเป็นตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะจากความเครียดร่วมด้วย 2. เนื้องอกสมอง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดทั่วศีรษะ ปวดมากเวลาตื่นนอนตอนเช้า พอสายๆ ก็ทุเลาไป ไม่ปวดต่อเนื่องทั้งวันอาการดังกล่าว จะเป็นแรงขึ้นทุกวันจนผู้ป่วยต้องสะดุ้ง ตื่นตอนเช้ามืดเพราะรู้สึกปวด และจะปวดนานขึ้นทุกวันจนในที่สุดจะปวดตลอดเวลา ซึ่งกินยาแก้ปวดไม่ทุเลา ในระยะต่อมาอาจมีอาการอาเจียน เดินเซ เห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง ชัก ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม 3.โรคทางสมองอื่นๆ เช่น เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงและอาเจียน ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ปวด บางคนอาจมีไข้สูง ซึม ชัก ร่วมด้วย 4.ต้อหินชนิดเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาและศีรษะข้างเดียวอย่างรุนแรงและฉับพลันทันที ตาพร่ามัว แสบตาข้างที่ปวดจะมีสิ่งรบกวน ตาแดงๆ ตรงบริเวณตาขาว (รอบๆ ตาดำ) อาการปวดจะเป็นต่อเนื่องเป็นวันๆ ซึ่งกินยาแก้ปวดก็ไม่ทุเลา การวินิจฉัย แพทย์จะวินิจฉัยโรคนี้จากลักษณะอาการ และประวัติเกี่ยวกับความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ การคร่ำเคร่งกับงาน นอกจากมีอาการไม่ชัดเจนและสงสัยเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง จึงจะส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ผู้ป่วยและญาติจึงควรบอกเล่าประวัติ และอาการเจ็บป่วยอย่างละเอียด เช่น ปัญหาครอบครัว (สามีมีภรรยาน้อย เล่นการพนัน การทะเลาะกัน) ปัญหาการงาน เป็นต้น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ถูกต้องและไม่หลงไปส่งตรวจพิเศษให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น
การดูแลตนเอง เมื่อมีอาการปวดศีรษะเพียงเล็กน้อย ควรกินยาพาราเซตามอลบรรเทา 1-2 เม็ด นั่งพักนอนพัก ใช้นิ้วบีบนวด ควรไปปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้ • มีอาการปวดรุนแรง หรืออาเจียนรุนแรง • มีอาการปวดมากตอนเช้ามืด จนสะดุ้งตื่น หรือปวดแรงขึ้นและนานขึ้นทุกวัน • มีอาการเดินเซ แขนขาอ่อนแรง หรือชักกระตุก • มีอาการตาพร่ามัว และตาแดงร่วมด้วย • มีอาการปวดศีรษะหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ • ดูแลตนเอง 2-3 วันแล้วไม่ดีขึ้น • มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะรักษาตนเอง
การรักษา แพทย์จะให้การรักษาโดยให้ยาบรรเทาปวดร่วมกับยาคลายกล้ามเนื้อหรือยากล่อมประสาท ถ้าพบว่ามีโรควิตกกังวลหรือซึมเศร้าร่วมด้วย ก็จะให้การรักษาภาวะเหล่านี้ไปพร้อมกัน และอาจให้การรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมไปด้วย เช่น กายภาพบำบัด เทคนิคการผ่อนคลาย การทำจิตบำบัด การกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้า การฝังเข็ม เป็นต้น ในรายที่มีอาการกำเริบมากกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้งและแต่ละครั้งปวดนานมากกว่า 3-4 ชั่วโมง หรือปวดรุนแรง หรือต้องใช้ยาแก้ปวดบ่อยมาก แพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินยาป้องกัน เช่น อะมิทริปไทลีน หรือฟลูออกซีทีนทุกวันติดต่อกันนาน 1-3 เดือน ภาวะแทรกซ้อน โรคนี้ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงแต่อย่างใด นอกจากทำให้วิตกกังวล ไม่สุขสบาย และอาจสิ้นเปลืองเงินทองและเวลาในการแสวงหาบริการ ซึ่งผู้ป่วยและญาติมักคิดว่าเป็นโรคร้ายแรง จึงย้ายรงพยาบาลที่รักษาไปเรื่อยๆ การดำเนินโรค อาการปวดแต่ละครั้งจะเป็นนานเป็นชั่วโมงๆ จนเป็นสัปดาห์ หรือแรมเดือน เมื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะทุเลาไปได้ แต่เมื่อขาดการรักษา และมีสิ่งกระตุ้นก็อาจกำเริบได้อีก จึงมักจะเป็นๆ หายๆ ได้บ่อย การป้องกัน ผู้ป่วยควรป้องกันไม่ให้กำเริบโดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่าปล่อยให้หิว อย่าคร่ำเคร่งกับงานมากเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้สายตาจนเมื่อยล้า ออกกำลังเป็นประจำ หาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่างๆ ถ้าจำเป็นควรกินยาป้องกันตามที่แพทย์แนะนำ ความชุก โรคนี้พบได้บ่อย คือประมาณร้อยละ 80-90 ของผู้ที่ปวดศีรษะจะมีสาเหตุจากโรคนี้ พบได้ในคนทุกวัย เริ่มเป็นครั้งแรกตั้งแต่วัยรุ่น หรือวัยหนุ่มสาว (มีโอกาสน้อยมาก ที่จะมีอาการครั้งแรกหลังอายุ 50 ปีไปแล้ว) และพบมีอาการกำเริบบ่อยในช่วงอายุ 20-50 ปี พบว่าผู้หญิงเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายประมาณ 1.5-2 เท่า ******************************************* ข้อมูลจาก นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 28 ฉบับที่ 336 เมษายน 2550 หน้า 28-31
ทรัพย์ในดิน

The Treasure in The Field
There was a farmer who had three sons.
All of his sons were very lazy. No one helped his father to work in the field.
No one cared to do any work. They only ate and slept.
The farmer was very sad that his sons were lazy.
One day the farmer became very ill. He called his three sons to tell them something.
“I have a treasure for you but it is buried in the field. After I die you may dig it up,” the farmer said then and died.
The three boys went to the field and dug the ground.
They dug all day trying to find the treasure, but did not find anything.
Next day they went to the field again and dug the ground more. But they did not find any treasure.
The boys dug the field for many days. They did not find any treasure.
Finally, the eldest son said, “Let us stop digging. We should grow corn in our field.”
So they brought corn seeds and sowed them in the land they had been digging.
After one month, the field was full of green corn seedlings.
Three months later, the plants bore corn and when the corn was ripe, the whole field became bright yellow.
“This is the treasure that father gave us,” they said happily.
“Nothing can be gained without effort.”
ทรัพย์ในดิน
ชาวนาผู้หนึ่งมีลูกชายอยู่สามคน
ลูกชายของเขาทุกคนล้วนเป็นคนเกียจคร้าน จึงไม่มีใครไปช่วยพ่อของเขาทำงานในท้องนาเลย
ทุกคนเอาแต่กินกับนอนเท่านั้น
ชาวนารู้สึกเสียใจมากที่ลูก ๆ ของเขาเป็นเช่นนี้
วันหนึ่งชาวนาเกิดล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน เขาจึงเรียกลูกชายทั้งสามคนเข้ามาสั่งความ
“พ่อฝังสมบัติทั้งหมดที่จะยกให้พวกเจ้าไว้ในท้องนา เมื่อพ่อตายไปแล้วพวกเจ้าจงไปขุดหากันเอาเองเถิด” บอกแล้วชาวนาก็สิ้นใจตาย
ลูกชายทั้งสามของชาวนาจึงพากันไปขุดหาสมบัติในท้องนาตามที่พ่อบอก
พวกเขาช่วยกันขุดหาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แต่ก็ไม่พบสมบัติที่มีค่าอะไรเลย
วันรุ่งขึ้น พวกเขาก็พากันออกไปขุดหาสมบัติอีก แต่ยังคงไม่พบอะไรเลยเช่นเดิม
ลูกชายทั้งสามของชาวนา ต่างช่วยกันขุดหาอยู่เช่นนี้ต่อไปอีกหลายวัน แต่ก็ปรากฏว่าไม่พบสมบัติอะไรเลย ในที่สุดพี่ชายคนโตจึงพูดปรึกษากับน้อง ๆ ของเขาว่า “พี่ว่าเราเลิกขุดหาสมบัติกันแล้วหันมาปลูกข้าวโพดกันดีกว่า”
พวกเขาจึงนำเอาเมล็ดข้าวโพดมาหว่านลงในผืนดินที่ถูกขุดคุ้ยไว้แล้วนั้น
หนึ่งเดือนต่อมา เมล็ดข้าวโพดก็เริ่มงอกงามเป็นต้นกล้าเล็ก ๆ
ถัดมาอีกสามเดือน ข้าวโพดก็เริ่มออกฝักแลดูเหลืองอร่ามไปทั่วท้องนา
“นี่เอง คือ สมบัติที่พ่อยกให้แก่พวกเรา” พวกเขากล่าวอย่างมีความสุข
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ไม่มีอะไรที่จะได้มาง่าย ๆ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลย”
7's {แสตมป์เบอรี่}
[7's] วางแผนร้ายปั้นหัวใจยัยหน้าใสสุดจี๊ด
อยู่ๆ พี่เทรซิสก็ขับรถมารับฉันไปที่อินเตอร์พาร์ก เมืองที่เพิ่งสร้างขึ้นได้ไม่นานแต่ไฮโซและหรูหราสุดๆ >O< การที่เขามารับฉันแบบกะทันหันนี่ว่าน่าตกใจแล้ว แต่ที่ช็อกยิ่งกว่านั้นคือฉันต้องย้ายโรงเรียนและย้ายที่อยู่! อ๊าก~ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย =[]= ฉันรีบโทรไปฟ้องแม่เผื่อว่าท่านจะอาละวาดใส่พี่เทรซิส แต่กลายเป็นว่าแม่เห็นดีเห็นงามด้วย แถมยังเตรียมข้าวของและเสื้อผ้าฉันใส่ท้ายรถมาให้แล้วอีกต่างหาก T^T
เมื่อโดนมัดมือชกซะขนาดนี้ ฮันนี่พายคนสวยจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากก้มหน้ายอมรับชะตากรรม (-_-*) มาถึงวันแรกฉันก็ต้องไปงานวันเกิดของ ‘ซัลเฟอร์’ หนึ่งในสมาชิกแก๊ง [7’s] (อ่านว่า เซเว่นเอส) ที่แสนจะหน้าตาดีสุดๆ *O* โอ้มายก็อด~ เท่เลิศระเบิดระเบ้อ อยากจัดงานแต่งไปพร้อมกันเลยมั้ยคะ >///< อุ๊ย เผลอคิดอะไรน่ะ แงๆ ทำไมฉันเป็นคนอย่างเน้~ TOT
[7's] Pretty Bad Girl บทเรียนรักกั๊กหัวใจยัยวายร้ายฝึกหัด
รายละเอียด :
~เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น~ T_T ฮือๆๆ ทำไมเพื่อนที่โรงเรียนถึงใจร้ายอย่างนี้ล่ะ เอะอะก็มาลงที่ฉันตลอด เมื่อไหร่จะเลิกกลั่นแกล้งฉันซะที ฉันก็ลูกมีพ่อมีแม่ ไม่ใช่จำเลย (ไม่) รักของใครๆ ที่คิดจะทำอะไรฉันก็ได้นะ T^T และแม้ฉันจะชื่อ ‘เพรทเซล’ ที่ควรจะกรอบนอกนุ่มใน แต่ความจริงแล้วฉันกลับอ่อนแอและปวกเปียกซะไม่มี ไอ้ความแข็งแกร่งมันหายไปไหนหมดหา! (_ _)
และเมื่อมีคนบอกให้ฉันไปเรียนรู้วิธีการเป็นคนเลวจาก ‘เทรซิส’ แบดบอยแห่ง [7’s] เพื่อที่ฉันจะปกป้องตัวเองได้บ้าง ฉันก็ไม่รอช้าและรีบไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ทันที เคยได้ยินมั้ยคำที่บอกว่า Everybody has a limit น่ะ แบบว่าเส้นความอดทนของฉันมันขาดซะแล้ว! จะขอเล่นบทนางเอกสู้คนบ้างแล้วล่ะนะ o(-.-)o จากนี้ไป... นอกจากเทรซิส... ฉันจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกทั้งนั้นแหละ (อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะ แง้~)
~เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น~ T_T ฮือๆๆ ทำไมเพื่อนที่โรงเรียนถึงใจร้ายอย่างนี้ล่ะ เอะอะก็มาลงที่ฉันตลอด เมื่อไหร่จะเลิกกลั่นแกล้งฉันซะที ฉันก็ลูกมีพ่อมีแม่ ไม่ใช่จำเลย (ไม่) รักของใครๆ ที่คิดจะทำอะไรฉันก็ได้นะ T^T และแม้ฉันจะชื่อ ‘เพรทเซล’ ที่ควรจะกรอบนอกนุ่มใน แต่ความจริงแล้วฉันกลับอ่อนแอและปวกเปียกซะไม่มี ไอ้ความแข็งแกร่งมันหายไปไหนหมดหา! (_ _)
และเมื่อมีคนบอกให้ฉันไปเรียนรู้วิธีการเป็นคนเลวจาก ‘เทรซิส’ แบดบอยแห่ง [7’s] เพื่อที่ฉันจะปกป้องตัวเองได้บ้าง ฉันก็ไม่รอช้าและรีบไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ทันที เคยได้ยินมั้ยคำที่บอกว่า Everybody has a limit น่ะ แบบว่าเส้นความอดทนของฉันมันขาดซะแล้ว! จะขอเล่นบทนางเอกสู้คนบ้างแล้วล่ะนะ o(-.-)o จากนี้ไป... นอกจากเทรซิส... ฉันจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกทั้งนั้นแหละ (อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะ แง้~)
[7's] So What!!! สวย แสบ ซ่าส์ มีปัญหามั้ยคะสุดหล่อ
แงๆ ทำไมชีวิตครอบครัวที่แสนจะมีความสุขของฉันถึงต้องจบลงด้วยเล่า TOT จู่ๆ พ่อกับแม่
ก็เลิกกันให้ฉันได้ชื่อว่าเป็นเด็กกำพร้าบ้านแตกสาแหรกขาด หนำซ้ำแม่ยังแต่งงานใหม่โดย
ไม่ถามความเห็นชอบของฉันสักคำ โอ้! ‘แอปเปิ้ลพัพฟ์’ ทำไมเธอถึงโชคร้ายปานนี้ T^T ดีล่ะ
ในเมื่ออยากเลิกกันนักล่ะก็ ฉันก็จะอาละวาดและทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาให้หนักๆ ไปเลย
เผื่อพ่อกับแม่จะเปลี่ยนใจมาคืนดีกันและเป็นแฮปปี้แฟมิลี่ดังเดิม ^_^
และคิไรส์ ไฮสกูล... โรงเรียนใหม่ของฉันก็เป็นสถานที่แรกที่ฉันใช้สร้างวีรกรรมเลวร้าย หึๆ
แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองซะมากกว่า เพราะแม่ดันเซ็นเอกสารให้ ‘คิไรส์’
[7’s] ลูกชายเจ้าของโรงเรียนมาเป็นผู้ปกครองฉันโดยชอบธรรม นั่นแปลว่า... ไม่ว่าฉันจะเพียร
ก่อเรื่องอะไรก็ตาม เขาก็จะเสนอหน้ามาขัดขวางทุกครั้งไป =[]= เฮอะ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนัก
ใช่มั้ยยะ ด๊ายยย~ ฉันไม่ยอมแพ้หรอก แล้วเราจะได้เห็นดีกันอีตาคิไรส์!
[7's] idol's party น่ารักอย่างนี้... บอกทีว่าเลิฟ เลิฟ
ไม่จริ๊งงงงงง~O[]o ฉันกรีดร้องเสียงดังลั่นกลางงานประกาศรางวัลพญานาคทองคำ ทำเอาฮือฮากันทั้งงาน อุ๊ย!แหะๆ ขอโทษค่ะ ซูเปอร์สตาร์อย่างฉันก็ตกใจเป็นนี่นา (-.-)” แหม จะไม่ให้กรี๊ดได้ไงล่ะ ก็ผู้ที่ได้รับรางวัลศิลปินตัวอย่างฝ่ายชายในปีนี้ดันเป็น... ‘ฮิโรกิ’ วง Black P อ๊าก!เป็นไปไม่ได้ มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ เพราะหมอนั่นน่ะมันเป็นพวกโรคจิตชัดๆ ไม่เหมาะสมกับรางวัลอันทรงเกียรติสักนิด (แต่ถ้าทรง ‘เกลียด’ ล่ะก็ยินดียกให้) ทุกคนอย่าไปเชื่อภาพลักษณ์ของเขาสิ มันเป็นแค่มายาน่ะเข้าใจมั้ย
อ้อ ถ้าอยากรู้ว่าทำไมดาราสาวสวยแสนเพอร์เฟ็กต์อย่าง ‘วาเลนเซีย’ คนนี้ถึงได้แอนตี้เขาล่ะก็ หึๆ บอกได้เลยว่าเรื่องยาว ; ( ขอเล่าย่อๆ แค่ว่าฉันเคยร่วมงานกับเขาสองสามครั้ง และอีตานั่นก็สร้างวีรเวรวีรกรรมแย่ๆ กับฉันทุกครั้ง มันน่าอายและแย่ม้ากกก~ชนิดที่ฉันประกาศกร้าวเลยว่าต่อให้ค่าตัวเยอะแค่ไหน ฉันก็จะไม่มีวันทำงานกับหมอนั่นอีกเป็นอันขาด! โกรธค่ะโกรธ แค้นฝังหุ่น เชอะๆๆ T^T
[7's] Beauty and crazy prince สวยเริดเชิดใส่เจ้าชายเอาแต่ใจ
![[7's] Beauty and Crazy Prince สวยเริดเชิดใส่เจ้าชายเอาแต่ใจ](http://www.naiin.com/system/application/bookstore/resource/product/201208/87595/50442377bb68c_XXL.jpg)
รายละเอียด :
อ๊ะ! เป็นไปได้ยังไงเนี่ย นี่มันห้องส่วนตัวของ 'แซทเทิล' นะ เพราะฉะนั้นมันก็ควรจะมีแค่ฉัน 'สไปรล์' สาวสวยแห่ง [7’s] ที่กำลังจู๋จี๋ดู๋ดี๋อยู่กับเขาเท่านั้นสิ แล้วอีตา 'คิไรส์' มันมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ยังง้ายยย~ =O= แถมสิ่งที่ทำให้ฉันยิ่งช็อกก็คือในมือหมอนั่นมีกล้องอัดคลิปที่พวกฉันกำลังสวีตกันเมื่อกี้ แน่นอนว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างคิไรส์ไม่มีทางปล่อยให้โอกาสดีๆ แบบนี้หลุดลอยไป เขาจึงเสนอทางเลือก (?) ให้ฉันเพื่อแลกกับการไม่เผยแพร่คลิปลับนี้ (-_-*) ถามจริงๆ เถอะ ฉันเลือกอะไรได้ด้วยเหรอยะ นี่มันบังคับขู่เข็ญกันชัดๆ อ่ะ เพราะถ้าไม่ทำตาม ฉันกับแซทเทิลก็ต้องถูกเด้งออกจากการเป็น [7’s] เพราะการแอบคบกันเองนี่มันผิดกฎอย่างร้ายแรง! และข้อเสนอของคิไรส์ก็คือ...ฉันต้องเดินทางไปยังเกาะเฮ่ฮ่าบ้าบออะไรสักอย่างเพื่อทำให้ 'เจ้าชายซีเวลล์' พอใจในตัวแทนสาวงามจากไทยแลนด์ ถ้าฉันทำสำเร็จ เจ้าชายก็จะขายเกาะให้ฉัน ซึ่งมันก็เป็นเกาะที่คิไรส์จ้องตะครุบอยู่นั่นเอง คือมีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ไง ต้องอาศัยความสวยของฉันด้วย >O< อ๋อออ~ เข้าใจละ ที่แท้เรื่องทั้งหมดนี่ก็เป็นแผนของนายเพื่อกดดันฉันใช่มั้ยคิไรส์ อ๊ากกก~ เพื่อนกันเขาทำกันแบบนี้เรอะ T^T
[7's] the kiss show สุดหล่อจ๋า...อยากสวยช่วยฉันที
ฮือๆๆ ‘คาราเมล’ เสียใจอ่ะ อยากร้องไห้ให้น้ำตาท่วมโลก T_T ฉันเป็นเจ้าแม่แห่งการประกวดสาวงามนะ ไม่ว่าจะประกวดเวทีไหนก็ชนะได้มงกุฎกลับมานอนกอดตลอดๆๆ แต่ล่าสุดฉันดันแพ้ยัยมะนาวเน่าเพราะขาวไม่พอ สุดท้ายฉันก็กลายเป็นนางงามตกกระป๋องดังอั้ก แง้ๆ เสียเซลฟ์ที่ซู้ดดด~=O=
ไม่ได้การละ ฉันไม่ยอมเด็ดขาด ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้บลิ๊งก์กว่านี้ให้ได้ T^T และหลังจากหาข้อมูลสักพัก ฉันก็ได้พบกับน้ำยาอมฤตแสนพิเศษที่จะทำให้ฉันขาวขึ้นแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่มันยากตรงที่ฉันต้องไปให้สุดหล่อ ‘แซทเทิล’ แห่ง [7’s] ช่วยจุ๊บๆๆ อ่ะ ไม่อย่างนั้นน้ำยามันจะไม่สัมฤทธิผล (-_-*)
อ๊าย!ทำไมขั้นตอนมันน่าอายแบบนี้นะ >_< แต่ความอยากขาวเอาชนะทุกสิ่ง ด้านได้อายอด ดังนั้นฉันต้องเดินหน้าสุดกำลัง >O< แซทเทิลรูปหล่อจ๋า ฉันอยากสวยกว่านี้ อยากขาวกว่านี้ ดังนั้นนายช่วยฉันด้วยน้าาา~พลีส ^3^
[7’s] X-Sensation สูตรรักสุดร้ายปราบหัวใจนายเพลย์บอย
ถ้าพูดถึง [7’s] กลุ่มคนหน้าตาดีอันโด่งดังแห่งอินเตอร์พาร์กแล้วล่ะก็ ไม่มีใครในเมืองนี้หรอกที่จะไม่รู้จัก ทุกคนต่างก็พากันคลั่งไคล้พวกเขาแบบไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งแน่นอนว่าฉันเองก็ ‘เคย’ อยู่ในกลุ่มผู้คลั่งไคล้นี้ด้วยเพราะประทับใจความดีของใครบางคน แต่แล้ว... เขาคนนั้นกลับหักหาญน้ำใจของฉันซะนี่!=O= ฮือๆๆ นั่นมันเป็นการหยามเกียรติ ‘โยเกิร์ต’ คนนี้มากๆ เลยล่ะ เลวร้ายที่ซู้ดดด~ ร้องไห้งอแงๆ รับไม่ได้ค่ะ! T^T
เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นความทรงจำน่าอับอายอันแสนเลวร้ายของฉัน และฉันก็ขอประกาศไว้ ณ ที่นี้เลยนะว่า... ฉันจะแอนตี้ [7’s] ตลอดกาล ย้ำ! ตลอดกาล ><” ไม่มีทางที่เราจะญาติดีกันได้หรอก เชอะ ชิ ชะ
แต่รู้อะไรมั้ย เค้าว่ายิ่งเกลียดยิ่งเจอ เพราะทันทีที่ฉันตั้งตนเป็นแอดมินเพจแอนตี้ [7’s] ขึ้นมาก็มีคนมาจ้างให้ฉันไปหักอกอีตาเพลย์บอย ‘ลีเทย์’ ซะงั้น อี๋~เกลียดอ่ะ (-*-) แต่เห็นว่าค่าตอบแทนงามหรอกนะถึงยอมทำน่ะ หึๆๆ ถึงเวลาที่ฉันจะได้แก้แค้นพวกนายซะที เตรียมรับมือกับความวุ่นวายสุดป่วนที่ฉันจะบรรเลงให้ดีละกัน ; )
[7's] extra edition ปฏิบัติการลับฉบับคู่รักสุดฮอต
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)